เปิดในหน้าต่างใหม่
ดาวน์โหลดวีดีโอ
Ellis Marsalis Center for Music in New Orleans ร่วมกับ Apple ในการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานเข้ากับหลักสูตรการศึกษาที่เน้นเรื่องศิลปะเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ๆ สำหรับนักเรียน
ชุมชน 3 กุมภาพันธ์ 2568
ในบ่ายวันหนึ่งที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและสายฝนโปรยปราย ทุกอย่างบริเวณสี่แยกถนน Bartholomew ตัดกับ Prieur ในย่าน Ninth Ward อันเก่าแก่ของเมืองนิวออร์ลีนส์ดูเงียบสงบ พื้นที่บริเวณรอบๆ Ellis Marsalis Center for Music (EMCM) ดูสงบ และแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากย่านเก่าแก่อย่าง French Quarter ที่คราคร่ำไปด้วยแจ๊ซคลับ บาร์ ร้านอาหาร และตลาด
เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 จังหวะเริ่มเปลี่ยนอย่างช้าๆ ในช่วงแรก เมื่อเด็กและวัยรุ่นอายุ 8 ถึง 18 ปี เดินผ่านประตูรั้วด้านหน้าของอาคารหลังสีฟ้าโดยที่ต่างคนต่างหิ้วเครื่องดนตรีของตัวเองมาด้วย เสียงบริเวณโถงทางเดินดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเสียงหัวเราะ เสียงฝีเท้า เสียงโน้ตดนตรีที่ดังแว่วมา และเสียงอาจารย์พูดคุยทักทายนักเรียน เหล่านักดนตรีฝึกหัดเริ่มเข้าเรียนวิชาประจำวันของตัวเองและหมุนเวียนจนครบทั้ง 4 วิชา ได้แก่ เปียโน การให้ความช่วยเหลือในการทำการบ้าน เครื่องดนตรีที่แต่ละคนเลือก และการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่เพิ่มเข้ามาจากความร่วมมือระหว่างระหว่างศูนย์แห่งนี้กับ Apple
ความร่วมมือระหว่าง EMCM กับ Apple เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2019 และช่วยให้ศูนย์แห่งนี้สามารถขยายหลักสูตรการศึกษาโดยการเพิ่มรายวิชาที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีเพื่อเสริมการเรียนการสอนวิชาดนตรีระดับเวิลด์คลาสให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
"หลายคนอาจสงสัยว่า 'ทำไมสถาบันดนตรีถึงสอนการเขียนโค้ดด้วย' แต่สำหรับเราแล้ว ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายดิจิทัล" Lisa Dabney ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์กล่าว "ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลโดยการช่วยให้นักเรียนได้เข้าถึงเทคโนโลยีและเปิดโอกาสด้านอาชีพการงานในระยะยาวที่มีความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งรวมถึงเส้นทางในสายเทคโนโลยีดนตรีและอีกมากมายด้วย โดยเฉพาะในชุมชนที่หลายครอบครัวยังไม่สามารถเข้าถึง iPad และคอมพิวเตอร์ การร่วมมือกับ Apple ช่วยให้เราสามารถนำพลังของเทคโนโลยีมาอยู่ในมือของนักเรียนได้โดยตรง ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่อนาคตในการทำงานและสร้างสรรค์ที่พวกเขาอาจไม่เคยนึกฝันมาก่อน"
นักเรียนใช้งาน iPad อยู่ที่เปียโนในชั้นเรียนวิชาเปียโน ณ Ellis Marsalis Center
นักเรียนเปียโนของศูนย์แห่งนี้ใช้แอปบน iPad เป็นประจำเพื่อเสริมการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน
Jahaad Applebee ซึ่งมาเรียนที่ Ellis Marsalis Center for Music ฝึกการเขียนโค้ด Swift ร่วมกับอาจารย์ LaTasha Bundy ในห้องแล็บ Mac ของศูนย์
การเขียนโค้ดเป็นวิชาบังคับที่ EMCM และในห้องแล็บ Mac ของสถาบัน ผู้สอนอย่าง LaTasha Bundy (ในภาพบนคู่กับ Jahaad Appleberry) สอนเนื้อหาพื้นฐานโดยใช้ Swift Playgrounds
การสนับสนุน EMCM เป็นส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาในภาพใหญ่ที่ Apple ได้ให้ไว้อย่างยาวนานในการที่จะยกระดับและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนในนิวออร์ลีนส์ผ่านเทคโนโลยี ซึ่งในระหว่างที่นักดนตรีที่เป็นผลผลิตของ EMCM เรียนเขียนโค้ดและมิกซ์แทร็คใหม่ด้วย Logic Pro และ GarageBand นักศึกษาจาก Delgado Community College ก็กำลังผลิตพ็อดคาสท์ว่าด้วยเรื่องราวของคนดังที่ทำให้วัฒนธรรมในท้องถิ่นของตนเป็นที่รู้จัก และศิลปินรุ่นใหม่จาก Arts New Orleans ก็ใช้ iPad เพื่อออกแบบงานศิลปะฝาผนังที่แฟนฟุตบอลจะได้เห็นเมื่อเดินทางไป Superdome สุดสัปดาห์นี้
"เราอยากเห็นเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และฉันดีใจที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในนิวออร์ลีนส์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฉันเอง" Lisa Jackson รองประธานฝ่ายสิ่งแวดล้อม นโยบาย และแผนงานทางสังคมของ Apple กล่าว "ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ และดนตรีล้วนอยู่ในดีเอ็นเอของเรา และทีมงานของเราก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับชุมชนพันธมิตรที่น่าทึ่ง รวมถึงคนรุ่นใหม่มากความสามารถที่ทำให้เมืองแห่งนี้มีสีสัน"
Ellis Marsalis Center for Music ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2012 ในย่าน Ninth Ward ของนิวออร์ลีนส์ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประจำชุมชนที่ให้การศึกษาระดับพื้นฐานในด้านดนตรีและเทคโนโลยีแก่นักเรียน
โปรแกรมการศึกษาแบบองค์รวมของ EMCM ที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดนั้นสะท้อนให้เห็นถึงปณิธานของผู้ก่อตั้งศูนย์แห่งนี้ที่ต้องการเห็นคนรุ่นต่อไปได้มีโอกาสสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาของเมืองนิวออร์ลีนส์ และงานดังกล่าวก็มีความสำคัญมากโดยเฉพาะในย่าน Ninth Ward ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถิ่นกำเนิดของศิลปินนักดนตรีระดับตำนาน รวมถึงนักสิทธิมนุษยชน และนักการศึกษาชื่อดังมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนได้รับผลกระทบจากเฮอร์ริเคน Katrina เมื่อปี 2005 มากกว่ากลุ่มอื่น
"หัวใจสำคัญในหลักสูตรของ EMCM คือความเชื่อของผู้ก่อตั้งที่มองว่าการจะเข้าใจดนตรีอย่างแท้จริงนั้นต้องเริ่มจากการเรียนรู้ที่จะฟังดนตรีก่อน" Dabney อธิบาย "เปียโนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้โดยการช่วยนักเรียนพัฒนาทักษะการฟังเชิงวิเคราะห์ สร้างสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับดนตรี และวางรากฐานทางทฤษฎีดนตรีที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุผลนี้เอง เปียโนจึงเป็นวิชาบังคับสำหรับนักเรียนทุกคน นอกเหนือจากเครื่องดนตรีหลักที่แต่ละคนเลือก"
มาวันนี้แนวทางการเรียนรู้เพื่อวางรากฐานในลักษณะเดียวกันนี้ได้ขยายไปถึงวิชาการเขียนโค้ดและวิศวกรรมด้านเสียงด้วย โดยในห้องแล็บ Mac ของศูนย์ นักเรียนจะได้ใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ล่าสุดในการเรียนเขียนโค้ดขั้นพื้นฐานด้วยเฟรมเวิร์ก "ใครๆ ก็เขียนโค้ดได้" และ Swift Playgrounds ของ Apple อีกทั้งยังมีสตูดิโอบันทึกเสียงอยู่ในศูนย์เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้การทำงานเอนจิเนียร์กับแทร็คด้วยแอปอย่าง GarageBand และ Logic Pro นอกจากนี้นักเรียนยังจะได้รับ iPad ไว้ใช้งานเป็นของตัวเองทุกเทอม ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำทักษะความรู้จากในชั้นเรียนไปพัฒนาต่อยอดที่บ้านได้
จากซ้ายไปขวา: Jacob Jones Jr., Donte Allen และ Dr. Daryl Dickerson ในสตูดิโอบันทึกเสียงของ EMCM
จากซ้ายไปขวา: Jacob Jones Jr. และ Donte Allen กับ Dr. Daryl Dickerson ในสตูดิโอบันทึกเสียงของ EMCM ขณะที่ Dr. Dickerson กำลังสอนวิชาวิศวกรรมด้านเสียง "ผมพยายามทำให้หลักสูตรของเรามีความหลากหลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนจะอยากเป็นคนเป่าทรัมเป็ตหรือมือกลอง และเราก็ไม่อยากปฏิเสธในการรับใครเข้าเรียน" เขาอธิบาย
วิชาวิศวกรรมด้านเสียง ซึ่งเป็นจริงได้จากการสนับสนุนของ Apple เป็นหนึ่งในหลายๆ วิชาเปิดใหม่ของศูนย์แห่งนี้สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย
"ในนิวออร์ลีนส์ เรามีโรงแรม มีคลับ มีศูนย์ประชุม และเราก็น่าจะเป็นเมืองที่จัดงานเทศกาลบ่อยกว่าที่ไหนๆ ในโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างต้องใช้ระบบเสียง" Dr. Daryl Dickerson ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาวิชาดนตรีของ EMCM มาอย่างยาวนาน กล่าว "นี่คืองานที่คุณสามารถเรียนรู้ในวันนี้ และหลังจากนั้นคุณก็จะทำเป็นตลอดชีวิต หากคุณเรียนรู้การบันทึกและปรับแต่งเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย คุณก็สามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพจริงๆ ได้"
สำหรับ Jacob Jones Jr. ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่เล่นทั้งแซกโซโฟน ทรัมเป็ต และเปียโน วิชาวิศวกรรมด้านเสียงที่สอนโดย Dr. Dickerson ในบ่ายวันเสาร์ได้เปลี่ยนกรอบความคิดที่เขามีเกี่ยวกับดนตรีไปโดยสิ้นเชิง
"คุณสามารถใช้เครื่องดนตรีทำเสียงได้ ซึ่งก็เยี่ยมแล้ว" Jones กล่าว "แต่เมื่อคุณนำเสียงนั้นมาเล่นผ่านคอมพิวเตอร์ คุณสามารถขยายความให้กับเสียงนั้น เล่นนั่นเล่นนี่ และสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาในแบบที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน"
นอกห้องเรียน Jones มักนำทักษะที่เขาเรียนรู้มาใช้ใน Logic และ GarageBand บน iPhone ของตัวเองทุกครั้งที่ปิ๊งไอเดียดีๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเวลาไหน "GarageBand เป็นแอปที่ผมขาดไม่ได้เลย เพราะเวลาผมได้ยินอะไรบางอย่าง แล้วอารมณ์แบบ 'ว้าว เสียงแบบนี้จะปล่อยผ่านไปไม่ได้' ผมก็จะหยิบ iPhone ขึ้นมาเปิด GarageBand แล้วสามารถเล่นทำนองนั้นลงไปเพื่อบันทึกเก็บไว้ได้เลย หรือจะแต่งเพลงทั้งเพลงขึ้นมาจากทำนองนั้นก็ได้" เขาอธิบาย
Jacob Jones Jr. ซึ่งมาเรียนที่ Ellis Marsalis Center for Music เล่นแซกโซโฟนอยู่ด้านนอกศูนย์
"ตอนเปลี่ยนมาเล่นแจ๊ซ ผมตกหลุมรักแซกโซโฟนเข้าอย่างจัง" Jacob Jones Jr. ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย กล่าว "ผมรักความละเอียดอ่อนและความซับซ้อนของแซกโซโฟน และแนวดนตรีย่อยๆ อีกมากมายที่มาพร้อมกับเครื่องดนตรีชนิดนี้"
วิชาการเขียนโค้ดที่เปิดสอนในโรงเรียนแห่งนี้ก็สนับสนุนให้มีการทดลองสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ เช่นกัน โดยมีการส่งเสริมนักเรียนอย่าง Donte Allen อายุ 14 ปี ให้นำความหลงใหลในเสียงดนตรีและงานศิลปะมาผสมผสานเข้ากับทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เรียนรู้ไปในชั้นเรียน
Allen มีใจรักในเสียงดนตรีมาตั้งแต่ยังแบเบาะ "พ่อผมมีรูปผมตอนอายุแค่ 6 เดือนถือทรัมเป็ตอยู่ในคาร์ซีต" เขาเล่าพร้อมกับรอยยิ้ม
แต่การเรียนเขียนโค้ดทำให้เขาเกิดความสนใจในการสร้างสรรค์ด้วยวิธีใหม่ๆ
"Swift สอนเนื้อหาพื้นฐาน แล้วคุณก็สามารถนำไปต่อยอดเองได้" เขาอธิบายเกี่ยวกับการเขียนโค้ดที่ตัวเองเริ่มชอบ "คุณสามารถสร้างแอปของตัวเอง สร้างเกมของตัวเอง และสร้างเรื่องราวของตัวเองได้ด้วย...เรียกว่าทั้งดนตรีและ Swift ต่างช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ของผม"
การมีโอกาสได้สัมผัสกับสื่อด้านการสร้างสรรค์และเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบเช่นนี้ ซึ่งบ่อยครั้งมาบรรจบกันในแบบที่น่าประหลาดใจ เป็นเรื่องที่ครูผู้สอนประจำศูนย์แห่งนี้ให้ความสำคัญ
"นักเรียนเหล่านี้ต้องการการศึกษาประเภทนี้" Dr. Dickerson กล่าว และความตั้งใจของเขาต่อจากนี้คือการเปิดสอนวิชาการทำพ็อดคาสท์ที่ศูนย์ "แต่ถ้าเราไม่นำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้เห็น พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าใจ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากดนตรีและวิชาอื่นๆ ทั้งหมดที่เราสอนอยู่ที่นี่ เราจึงพยายามนำเสนออะไรใหม่ๆ กับนักเรียนอยู่ตลอดเวลา"
Donte Allen ซึ่งมาเรียนที่ Ellis Marsalis Center เล่นทรัมเป็ตอยู่ด้านนอกศูนย์
Donte Allen ซึ่งปัจจุบันอายุ 14 ปี เคยไปดูการแสดงขบวนพาเหรด Second Line และวงดุริยางค์กับครอบครัว "ทรัมเป็ตมีความหมายกับผมมาก เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่พ่อผมเล่น"​ เขากล่าว "เป็นหนึ่งในสิ่งที่เชื่อมพวกเราสองพ่อลูกเข้าด้วยกัน"
นอกเหนือจากความคลั่งไคล้ในกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่พบเห็นได้รอบสนาม Superdome แล้ว กลุ่มนักเรียนจาก Arts New Orleans ต่างก็กำลังเก็บงานขั้นสุดท้ายในโปรเจ็กต์ของตัวเอง นั่นคืองานศิลปะฝาผนังในธีมสวน ซึ่งจะปรากฏอยู่บนผนังกำแพงด้านนอกของ Orleans Justice Center เลียบถนน Interstate 10 บอกเล่าเรื่องราวของคนท้องถิ่นที่เคยถูกจำคุก พร้อมๆ กับส่งสารแห่งความหวังไปยังชุมชนในเวลาเดียวกัน
ผลงานขนาดกว่า 600 ตารางเมตรชิ้นนี้ออกแบบโดยผู้เข้าร่วมโปรแกรมการศึกษาศิลปะและพัฒนาบุคลากร Young Artist Movement (YAM) ของ Arts New Orleans ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนอายุ 14 ถึง 22 ปี โปรแกรม YAM จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2016 และเปิดโอกาสให้เยาวชนในท้องถิ่นที่เข้าร่วมได้เรียนรู้กระบวนการสร้างงานศิลปะฝาผนังจากศิลปินรับเชิญ ทั้งยังได้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองทั่วเมืองนิวออร์ลีนส์ รวมถึงลงมือติดตั้งผลงานศิลปะของตัวเองในขั้นสุดท้ายด้วย
กระบวนการออกแบบงานศิลปะบนฝาผนังชิ้นนี้เริ่มต้นขึ้นในแอป Procreate บน iPad โดยนักเรียนทั้ง 19 คนใช้ Apple Pencil ในการออกแบบภาพดิจิทัลที่จะปรากฏบนพาเนลของผนัง จากนั้นหัวหน้ากลุ่มศิลปินอย่าง Journey Allen, Gabrielle Tolliver และ Jade Meyers จะจัดเรียงผลงานการออกแบบรอบสุดท้าย ก่อนส่งไปยังบริษัทพิมพ์ผ้าติดผนังให้ทำการพิมพ์ภาพซ้อนลงบนแผ่นผ้าขนาดใหญ่สำหรับติดบนผนัง ขั้นตอนต่อจากนั้นจะเป็นการลงสีบนชิ้นงาน ก่อนนำไปติดตั้งตามแนวผนังโดยใช้วัสดุเจลแบบเฉพาะ
Allen ซึ่งเป็นศิลปินด้านภาพและนักการศึกษาวิชาศิลปะที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาเยาวชน เฝ้าดูการสร้างสรรค์ผลงานของนักเรียนด้วยความเพลิดเพลิน "ฉันชอบดูคนที่ตอนแรกขาดความมั่นใจเมื่อเห็นวัสดุที่จะใช้" เธอเล่าให้ฟัง "แต่พอคุณพูดคุยทำความรู้จักจนพวกเขาเปิดใจ งานศิลปะชิ้นนั้นก็จะกลายเป็นจุดกำเนิดของความโปร่งใส และเป็นจุดกำเนิดของความเชื่อใจที่ซึ่งเด็กๆ ได้เผยเศษเสี้ยวของความเป็นตัวเองให้คุณได้สัมผัส บางคนแทบไม่เคยวาดรูปหรือระบายสีมาก่อนเลย แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะฝาผนังชิ้นใหญ่ขนาดนี้ได้ และยังถามด้วยว่า 'จะได้ทำชิ้นต่อไปเมื่อไหร่'"
ศิลปินวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังลงสีผีเสื้อบนงานศิลปะฝาหนังชิ้นใหม่ของ Arts New Orleans
งานศิลปะฝาผนังชิ้นล่าสุดของ Arts New Orleans ซึ่งจัดแสดงอยู่บนผนังด้านนอกอาคาร Orleans Justice Center ได้รับการออกแบบบน iPad โดยใช้ Apple Pencil และ Procreate
สำหรับศิลปินวัยรุ่นบางคน โปรเจ็กต์นี้มีความหมายอีกชั้นหนึ่งซ่อนอยู่ นั่นคือการที่พวกเขาเลือกเข้าร่วม YAM แทนการถูกดำเนินคดีหรือจำคุก ผ่านโปรแกรมความหลากหลายทางศิลปะของ YAM ซึ่งมีขึ้นสำหรับเยาวชนที่ต้องโทษสถานเบาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง โปรแกรมนี้จัดตั้งขึ้นในปี 2021 โดยอาศัยพลังในการเยียวยาและฟื้นฟูของการแสดงออกทางศิลปะ และเป้าหมายก็คือการช่วยให้นักเรียนได้รับการยกฟ้องเมื่อจบหลักสูตรของโปรแกรมนั่นเอง
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ Arts New Orleans ยังมีแผนจัดทำโปรแกรมนำร่องเพื่อความหลากหลายทางศิลปะแยกออกมาอีกหนึ่งโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของผู้เข้าร่วมอีกด้วย "มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องมีส่วนร่วม เรื่องที่พวกเขาต้องพูดคุย และสิ่งที่เราไม่สามารถใส่เข้ามาใน YAM กลุ่มหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากระบบยุติธรรมทางอาญาในลักษณะเดียวกัน" Allen อธิบาย "การมีโปรแกรมสำหรับคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะจะช่วยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ขยับขยายและก้าวผ่านอะไรก็ตามที่กำลังเผชิญอยู่ได้จริงๆ"
ผู้ที่จุดประกายให้กับ YAM และโปรแกรมความหลากหลายทางศิลปะก็คืออดีตผู้พิพากษา Arthur Hunter ที่เกษียณอายุแล้ว และ Ron Bechet ซึ่งเป็นอาจารย์จาก Xavier University และยังเป็นศิลปินด้วย ตลอดเส้นทางการทำงานที่เริ่มต้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นักกฎหมาย จนสุดท้ายกลายมาเป็นผู้พิพากษาในเมืองนิวออร์ลีนส์ซึ่งเป็นบ้านเกิด Hunter ได้พบเห็นด้วยตัวเองว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลให้เยาวชนต้องหลุดเข้าไปอยู่ในระบบยุติธรรมทางอาญาของเมือง และมองเห็นศักยภาพของศิลปะในการเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเยาวชน
"นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วย โอกาสที่พวกเขาควรหาเลี้ยงชีพได้ด้วยความสามารถของตัวเอง" Hunter ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ Arts New Orleans กล่าว "โอกาสที่ศิลปะมอบให้นั้นมีความสำคัญไม่แพ้ความสวยงามที่เราได้เห็นจากภาพบนผืนผ้าใบ"
สำหรับ Hunter แล้ว การจัดแสดงผลงานศิลปะบนฝาผนังชิ้นนี้มาได้ถูกจังหวะจริงๆ "โปรเจ็กต์นี้จะไม่เป็นแค่เพียงบทสรุปสุดท้าย แต่ผมยังมองเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เราจะได้มีงานศิลปะเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งเมือง และเป็นการบอกให้คนในเมืองนี้ ภูมิภาคนี้ รัฐนี้ ทั่วทั้งประเทศ และทั่วโลกได้รู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องศิลปะแล้ว เด็กๆ จากเมืองนิวออร์ลีนส์มีความสามารถไม่แพ้ใคร" เขากล่าว
แชร์บทความ

Media

  • เนื้อหาของบทความนี้

  • รูปภาพในบทความนี้

รายชื่อติดต่อสำหรับสื่อมวลชน

ช่องทางให้ความช่วยเหลือของ Apple สำหรับสื่อมวลชน

[email protected]